จะเป็นการทำความคุ้นเคยและปูพื้นฐานความรู้จากหัวข้อต่างๆในการสอบ CFA Level 1 ที่มีการแบ่งออกเป็นทั้งหมด 10 หัวข้อใหญ่ (Topics) เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันของแต่ละหัวข้อ โดยเริ่มจากการแนะนำรายละเอียดหัวข้อย่อยทั้ง 57 หัวข้อ (Readings) รวมถึงการแบ่งน้ำหนักในการออกสอบ ไปก่อนจะเข้าสู่การปูพื้นฐานความรู้เนื้อหาสำคัญเฉพาะบาง Reading ที่เลือกมาจากแต่ละหัวข้อใหญ่
เนื้อหาวิชาของการสอบ CFA ทั้ง 10 หัวข้อนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ตามวัตถุประสงค์การนำไปใช้งาน ได้แก่
ประเภทที่ 1 เพื่อการวิเคราะห์ผลตอบแทน สภาวะเศรษฐกิจ เพื่อการตัดสินใจลงทุน : มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน 3 หัวข้อ ได้แก่ การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Method), การเงินองค์กร(Corporate Finance), การบริหารพอร์ทการลงทุน (Portfolio Management)
การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Method) : จะเริ่มต้นที่การเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจ เรื่องของ มูลค่าของเงินตามเวลา (Time Value of Money) ซึ่งเป็นหัวใจของวิชาการเงินพื้นฐานที่จะต่อยอดไปสู่ความรู้ขั้นสูงต่อไป และเรียนรู้เรื่องของสถิติและผลตอบแทน (Statistic & Market Return) เพื่อทำความเข้าใจ วิธีคาดการณ์ผลตอบแทน (Return) และความเสี่ยง (Risk) จากการลงทุน
เศรษฐศาสตร์ (Economics) : ทำความเข้าใจเรื่องของเศรษฐศาสตร์จุลภาพ (Microeconomics) และเศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการทำความเข้าใจนโยบายการเงินและการคลัง (Monetary & Fiscal Policy) ว่ามีเครื่องมือแบบไหนบ้าง ในการดูแลบริหารเศรษฐกิจของประเทศ
การเงินองค์กร (Corporate Finance) : จะนำความรู้เกี่ยวกับมูลค่าของเงินตามเวลา (Time Value of Money) มาต่อยอดในการพิจารณาการคัดเลือก การจัดสรรเงินลงทุนของบริษัท (Capital Budgeting)เพื่อช่วยในการคัดเลือกโครงการ และทำความเข้าใจต้นทุนทางการเงินของบริษัท(Cost of Capital)
การบริหารพอร์ตการลงทุน (Portfolio Management) : จะนำความรู้เรื่องสถิติและผลตอบแทน(Statistic & Market Return) มาประยุกต์ เพื่อช่วยในการพิจารณาคัดเลือกผลตอบแทนจากพอร์ทการลงทุน (Portfilio Risk & Return) และปูพื้นฐาน การวางแผนการสร้างพอร์ทการลงทุนขนาดใหญ่ (Portfolio Planning & Construction)
ประเภทที่ 2 เพื่อการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่จะเข้าลงทุน : มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง 4 หัวข้อ การวิเคราะห์งบการเงิน (Financial Reporting Analysis), ตราสารหุ้น (Equity), ตราสารหนี้ (Fixed Income), ตราสารอนุพันธ์ (Derivative)
การวิเคราะห์งบการเงิน (Financial Reporting Analysis) : โดยจะเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจงบการเงินทั้ง 3 ประเภทได้แก่ การกำไรขาดทุน (Income Statement) งบดุล (Balance Sheet) และงบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเครื่องมือการวิเคราะห์งบการเงิน(Financial Analysis Tools)
ตราสารหุ้น (Equity) : จะได้เรียนรู้ ภาพรวมเบื้องต้นของตราสารทุน (Overview) การวิเคราะห์อุตสาหกรรมและบริษัท (Industry & Company Analysis) ก่อนที่จะปิดท้ายด้วย วิธีการคิดมูลค่าตราสารทุน (Equity Valuation Concept) ซึ่งจะต้องอาศัยความเข้าใจตัวเลขจากการงบการเงินะทั้ง 3ประเภทเพื่อนำมาประเมินและวิเคราะห์มูลค่า
ตราสารหนี้ (Fixed Income) : ทำความเข้าใจการคิดมูลค่าตราสารหนี้ (Fixed Income Valuation) และหลักการพื้นฐานพิจารณาการให้สินเชื่อ (Fundamental of Credit Analysis) ซึ่งข้อมูลในการคิดมูลค่าและการพิจารณาให้สินเชื่อ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมาจากการวิเคราะห์งบการเงินของบริษัท แต่จะมีมุมมองที่ต่างออกไปจากการคิดมูลค่าตราสารทุน
ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) : ทำความรู้จักกับตลาดและเครื่องมือของตราสารอนุพันธ์ (Market & Instrument) ซึ่งตราสารอนุพันธ์ จะใช้สินทรัพย์อ้างอิง (Underlying) เพื่อคิดมูลค่า ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว จะใช้ตราสารทุน (Equity) และตราสารหนี้ (Fixed Income) เป็นสินทรัพย์อ้างอิง จึงทำให้การทำความเข้าใจตราสารอนุพันธ์ จะทำได้ง่ายขึ้น ถ้ามีความรู้ในส่วนของ ตราสารหนี้และตราสารทุนมาก่อน
สินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investment) : จะได้เรียนรู้ว่า สินทรัพย์แบบใดบ้างที่ถือว่า เป็นสินทรัพย์ทางเลือก และมีหน้าที่อย่างไรเกี่ยวกับการจัดพอร์ทการลงทุน